- แป้งขนมปัง 500 กรัม
- ยีสต์แห้ง 25 กรัม)
- น้ำอุ่น 500 กรัม
ใส่ยีสต์ในน้ำอุ่นแล้วคนให้ยีสต์ละลายหมด ใส่แป้งในชามผสมใบใหญ่ เทน้ำที่ละลายยีสต์ไว้ลงไป ใช้เครื่องผสมไฟฟ้าตีด้วยหัวตะขอให้แป้งเข้ากับน้ำก่อนนวดความเร็วสูงประมาณ 3 นาที ใช้ผ้าคลุมอ่างพักไว้ 30 นาทีค่ะ
ส่วนผสมที่. 2
- แป้งขนมปัง. 1000 กรัม
- น้ำอุ่น. 250. กรัม
- วิปปิ้งครีม/เฮฟวี่ครีม 150 กรัม (หรือใช้นมสดเหยี่ยวแทนได้)
- น้ำตาลทราย 50. กรัม
- เกลือป่น 30. กรัม
เมื่อพักแป้ง ส่วนที่ 1 ครบเวลาแล้วก็ใส่ส่วนผสม ที่ 2 ทั้งหมดในอ่างแป้งที่นวดไว้ จัดการนวดส่วนผสมทุกอย่างรวมกันจนแป้งเนียนมือ และหลุดจากขอบอ่างอย่างง่ายดาย เสร็จแล้วก็รวบแป้งเป็นก้อนกลม คลุมผ้าพักไว้ในที่อุณหภูมิห้องเมื่อครบเวลาแล้วก็นำมาคลึงไล่ฟองอากาศออกให้ทั่วก่อนรวบเป็นก้อนกลม พักต่ออีก 30 นาทีค่ะ
เมื่อพักแป้งรอบที่สองครบ. 30 นาทีแล้วก็แบ่งเป็น. 8 ก้อนโดยไม่ต้องไล่ลมออก. นำแป้งคลึงเป็น
แผ่นสี่เหลิ่ยมผืนผ้า พับหัวท้ายเข้าหากัน ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดตรงกลางให้แน่นแล้วพับทบ
กันอีกที บีบริมแป้งให้ติดกันดีแล้ว จับคว่ำนำด้านรอยต่อไว้ด้านล่าง พักไว้ประมาณ 20 นาที
เพื่อให้แป้งยึดหยุ่นดี
เมื่อครบ 20 นาทีแล้วก็นำแป้งมาแผ่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับหัวท้าย แล้วทบกันอีกครั้ง คลึงให้ได้ความยาวที่ต้องการแล้ววางโดว์บนพิมพ์บาเก็ตต์หรือหากไม่มีพิมพ์ก็วางบนถาดอบหรือถาดอบธรรมดาที่ทาเนยบางๆ ก็ได้ค่ะ
เมื่อวางแป้งบนพิมพ์แล้ว. ใช้ผ้าคลุมไว้กันลม พักให้ขึ้นอีก. 30-45. นาทีหรือจนกว่าแป้งจะขึ้น
ประมาณเท่าครึ่ง จากนั้นก็อุ่นเตาอบไว้ที่. 250. องศาเชลเชียส.ระหว่างอุ่นเตาอบก็หามีดคมๆ
มากรีดแป้งเป็น. 4. รอย เสร็จแล้วก็ใช้แปรงนุ่มๆ จุ่มน้ำทาผิวโดว์ให้ทั่ว หรือใช้สเปรย์ฉีดน้ำ
ทั่วๆโดว์แทนก็ได้
ระหว่างนั้นก็ต้มน้ำประมาณ 250 มล. ให้เดือด เมื่อเตาอบร้อนได้ที่ก็นำถาดอบเข้าวางบนชั้นกลางของเตาอบ เทน้ำร้อนใส่ชามทนไฟวางไว้บนพื้นเตาอบแล้วฝาเตาอบทันที อบไฟ 250 องศาเซลเซียสประมาณ 8-10 นาที แล้วลดไฟเหลือ 190 องศาเซลเซียส อบต่ออีก 20 นาทีจนขนมสุกมีสีเหลืองทองค่ะ. (เพื่อไม่ให้ขนมมีสีเข้มเกินไป ในระหว่าง 20 นาทีผ่านไปประมาณ 6-7 นาทีให้ปิดด้านบนขนมด้วยแผ่นฟรอยขนาดใหญ่) อบต่อจนครบ 20 นาที สีขนมก็จะเหลืองสวยน่าทานค่ะ
เมื่อบาเก็ตต์สุกดีแล้วก็นำแปรงชุบน้ำทาผิวบาเก็ตต์ให้ทั่ว เพื่อความเงางามก่อน
นำถาดอบออกจากเตา
จากนั้นวางขนมไว้บนตะแกรงพักให้เย็น
เดี๋ยวนี้ที่บ้านทำทานกันเป็นประจำแล้ว. เพราะติดใจในรสชาติของมัน
ที่มา:http://varithorn.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น